คำสั่งเสีย - พระอาจารย์ ประวิทย์
คำสั่งเสีย
อำนวยสุขสวัสดี สาธุชนทุกท่าน
เสียงที่ท่านกำลังได้ยินอยู่นี้เป็นเสียงของผู้ตาย อย่าเพิ่งตกใจ ! เป็นเสียงของผู้ตายที่ได้บันทึกเสียงเตรียมไว้ก่อนตาย เพื่อเป็นการขอบคุณและให้ข้อคิดแก่ท่านทั้งหลายผู้มาร่วมในงานศพของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเชื่อว่า ความตายของข้าพเจ้าคงทำให้คนบางคนซึ่งใกล้ชิดกับข้าพเจ้า โดยฐานะญาติก็ดี เพื่อนสหธรรมิกก็ดี มีความรู้สึกเสียใจบ้างเป็นธรรมดา แม้จะไม่มากนักก็ตาม เพื่อเป็นการปลอบใจแก่ท่านทั้งหลายที่รู้สึกว่าสูญเสียข้าพเจ้าไป และเพื่อเป็นคำแนะนำหรือคำปลอบใจล่วงหน้า สำหรับท่านทั้งหลายที่จะต้องสูญเสียคนที่ท่านรักในกาลต่อไป เพื่อประโยชน์แก่บุคคลทั้งสองพวกดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงขอกล่าวธรรมกถาแก่ท่านทั้งหลายดังต่อไปนี้
เมื่อปี ๒๕๔๙ ข้าพเจ้าจำพรรษาที่วัดหาดใหญ่-สิตาราม จ.สงขลา หลังจากออกพรรษาได้ไม่กี่วัน มีผู้ชายคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิตห่างจากวัดเกือบ ๒๐๐ เมตร ในขณะที่ข้าพเจ้าไปยืนดูศพอยู่นั้น มีความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้น ๔ อย่าง คือ
๑.คนตายไม่มีความทุกข์เลย แม้เขาจะถูกยิงที่ศีรษะถึง ๓ นัด แม้เขาจะนอนอยู่บนพื้นดินโดยไม่มีเสื่อ หมอน หรือผ้าห่ม แม้เขาจะตกเป็นเป้าสายตาของพระ-เณร เจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยกู้ภัย และชาวบ้านแถบนั้น ร่วมร้อยคน หรือหากแม้ทิ้งศพไว้อย่างนั้น เขาก็จะไม่เป็นทุกข์แม้จากหมู่แมลงวันและหมู่หนอนที่ชอนไช สรุป ว่า เขาไม่มีทุกข์เลยโดยประการทั้งปวง แล้วเราจะเป็นทุกข์เพราะเขาทำไม ? นี่คือความรู้สึกประการแรกในขณะที่ข้าพเจ้ายืนดูศพอยู่
ข้าพเจ้าจึงอยากจะบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า ณ ขณะนี้ข้าพเจ้าเองก็ไม่มีทุกข์เช่นกัน ความทุกข์ทั้งหลายบรรดามีในโลกนี้ อาทิ ความทุกข์จากความหิวกระหาย หนาว ร้อน ก็ดี ความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆก็ดี ความทุกข์จากการแสวงหาทรัพย์ รักษาทรัพย์ หรือสูญเสียทรัพย์ก็ดี ความทุกข์จากอาการอกหักหรือผิดหวังประการใดๆก็ดี ความทุกข์จากความกลัวต่างๆก็ดี หรือความทุกข์อื่นใดก็ดี บัดนี้ข้าพเจ้าไม่มีความทุกข์นั้นเลย เช่นนี้แล้วท่านทั้งหลายควรจะแสดงความยินดีกับข้าพเจ้าไม่ใช่หรือ ? ในกรณีคนตายรายอื่นๆก็เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ท่านทั้งหลายจึงไม่ควรเป็นทุกข์เพราะความตายของคนนั้นๆเช่นกัน
ความคิดประการที่ ๒ ในขณะที่ยืนดูศพอยู่ ข้าพเจ้าคิดว่า ความตายของคนคนนี้คงทำให้ญาติพี่น้อง ลูกเมีย และเพื่อนฝูงหลายคนต้องเสียใจ ต้องหลั่งน้ำตาเพราะความตายของเขา แม้ว่าพระ-เณรและชาวบ้านที่ไปยืนดูอยู่นั้นไม่มีใครหลั่งน้ำตา เพราะไม่มีใครรู้จักเขาก็ตาม แต่ญาติพี่น้องดังกล่าวเหล่านั้นต้องเสียใจร้องไห้แน่นอน เมื่อเขารู้ว่าคนที่เขารักถูกยิงตายเสียแล้ว
ข้าพเจ้าคิดถึงคนอื่นๆที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า ถ้าคนนั้นๆตายไป ก็คงจะมีญาติพี่น้องหลายคนต้องเสียใจหลั่งน้ำตาเพราะความตายของคนคนนั้นเช่นกัน แล้วข้าพเจ้าก็คิดถึงตัวเอง หากข้าพเจ้าตายไป พ่อแม่ พี่สาว และญาติคนอื่นๆคงรู้สึกเสียใจและร้องไห้เพราะความตายของข้าพเจ้าเช่นกัน
ด้วยความคิดเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดต่อไปว่า คนเราหากแม้มีชีวิตอยู่และตายจากไปโดยไม่ทำให้ใครต้องหลั่งน้ำตาเพราะตนเป็นเหตุ นับเป็นชีวิตที่ประเสริฐไม่น้อย
ข้าพเจ้าเคยคิดเมื่อเป็นสามเณรว่า ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ใครเป็นทุกข์เพราะข้าพเจ้าเป็นเหตุ ข้าพ -เจ้าไม่ต้องการเป็นภาระของใคร และไม่ต้องการให้ใครเป็นภาระของข้าพเจ้าเช่นกัน หากสามารถรู้วันตายล่วงหน้า ข้าพเจ้าจะเดินไปตายในป่าหรือในถ้ำในเหวที่ไม่มีใครพบเห็นได้ เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระแก่ใคร แต่เสียดายที่ข้าพเจ้ายังไม่มีความสามารถดังนั้น
ที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า ข้าพ- เจ้าไม่ต้องการให้ใครหลั่งน้ำตาเพื่อข้าพเจ้านั่นเอง บัด นี้ข้าพเจ้าเสียชีวิตแล้ว และได้ตกเป็นภาระของท่านทั้งหลายในการจัดงานศพให้ข้าพเจ้า
ดังข้าพเจ้ากล่าวถึงความเห็นของตัวเองแล้วว่า คนเราหากมีชีวิตอยู่และตายจากไปโดยไม่ทำให้ใครต้องหลั่งน้ำตา นับเป็นชีวิตที่ประเสริฐไม่น้อย ท่านทั้งหลายกรุณามอบชีวิตอันประเสริฐให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด
ความคิดประการที่ ๓ ในขณะที่ข้าพเจ้ายืนดูศพอยู่ ข้าพเจ้าคิดว่า หากแม้ผู้ตายสามารถกล่าวคำสั่งเสียได้ ก่อนตายเขาคงสั่งเสียไม่ให้คนที่อยู่ข้างหลังเป็นทุกข์เพราะเขา เป็นความจริงว่า คนที่มีความรักความหวังดีต่อกันนั้น เขาไม่ต้องการให้คนที่เขารักเป็นทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นทุกข์เพราะตนเป็นเหตุ
ในสมัยเด็กๆ ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเล่นน้ำในลำคลอง ดำน้ำไปชนก้อนหินจนหน้าผากถลอก มีเลือดไหลซิกๆ เมื่อกลับถึงบ้าน โยมแม่เห็นเข้าก็แสดงอาการตกใจ รีบเข้ามาดู ถามว่าไปโดนอะไรมา แล้วไปหายามาใส่ให้ บาดแผลทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมื่อเห็นโยมแม่แสดงอาการเป็นห่วงแล้วรู้สึกไม่สบายใจเลย แม้ใจหนึ่งจะคิดว่า หน้าผากผมไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย ทำไมแม่ต้องเจ็บแทนผมด้วย ? แต่ข้าพเจ้าก็เข้าใจ นั่นเพราะโยมแม่รักข้าพเจ้า
เมื่อข้าพเจ้าบวชเป็นสามเณรแล้ว ครั้งหนึ่งเมื่อกลับไปเยี่ยมบ้าน ก่อนลากลับโยมพ่อเข้ามานั่งคุยด้วย และจะถวายเงินแก่ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่รับ ท่านได้คะยั้นคะยอข้าพเจ้า บอกว่า เก็บเงินใส่ย่ามไว้บ้างเป็นค่ารถ เจ็บไข้ไม่สบายขึ้นมาก็จะได้ใช้เป็นค่ายา ข้าพเจ้าก็ยังยืนกรานที่จะไม่รับเช่นเดิม ข้าพเจ้าเห็นตาโยมพ่อแดงๆ มีน้ำตาคลอเบ้า รู้ว่าท่านเป็นห่วง จึงได้พูดปลอบใจท่านว่า ถึงไม่มีเงินก็ไม่เป็นไรหรอก เวลาจะไปไหนขออาศัยเขาโดยสารรถไปก็ได้ เขาไม่ให้ไปก็เดินไปเท่านั้นแหละ แต่เท่าที่ผ่านมาเขาก็ให้ไปทุกครั้ง โยมพ่อจึงได้หยุดพูด เหตุการณ์ครั้งนี้ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเช่นกัน ไม่สบายใจที่โยมพ่อรู้สึกไม่สบายใจเพราะเป็นห่วงที่ข้าพเจ้าไม่รับเงิน
ข้าพเจ้ายกเหตุการณ์ ๒ ครั้งนี้มา เพื่อสนับสนุนความเห็นของข้าพเจ้าที่ว่า คนที่รักกันนั้นเขาไม่ต้องการให้คนที่เขารักเป็นทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นทุกข์เพราะเขาเป็นเหตุ ข้าพเจ้าเชื่อว่าแม้ท่านทั้งหลายก็คงมีประสบการณ์ที่สามารถสนับสนุนความเห็นของข้าพเจ้าได้เช่นกัน
ข้าพเจ้าเองก็มีความปรารถนาดีต่อท่านทั้งหลาย ไม่ต้องการให้ท่านทั้งหลายมีความทุกข์ ถ้าวันนี้ เมื่อข้าพเจ้าตายจากท่านทั้งหลายไป ทำให้ท่านมีความทุกข์ เสียใจ ข้าพเจ้าคงรู้สึกพลอยไม่สบายใจไปด้วย ท่านทั้งหลายต้องการให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพราะความทุกข์ของท่านหรือ ?
ความรู้สึกประการที่ ๔ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ศพที่นอนอยู่ก็คือขยะที่เจ้าของชีวิตทิ้งแล้วนั่นเอง ศพจะเป็นขยะได้อย่างไร ? ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดู
ความเป็นขยะไม่ได้ถือกำเนิดมาแต่เดิม แต่เป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีค่าชิ้นหนึ่ง ที่ถูกกาลเวลากัดกร่อน จนคุณค่าลดน้อยลงไป และหมดสิ้นไปในที่สุด ความเป็นขยะจึงอุบัติขึ้น ณ จุดนั้น
เมื่อท่านทั้งหลายซื้อดอกไม้ใส่แจกันบูชาพระ ๗ วันผ่านพ้นสภาพเป็นเช่นใด ?
เมื่อท่านทั้งหลายรับประทานอาหารที่ตนชื่นชอบอย่างเอร็ดอร่อย เวลาผ่านไปไยท่านทั้งหลายต้องเข้าห้องส้วมเพื่อขับถ่ายมันเสียเล่า ?
เสื้อผ้าสุดสวยที่ท่านซื้อมา ๕ ปี ๑๐ ปีให้หลังหรือท่านยังสวมใส่ ?
เจ้าสาวแสนสวยที่ได้มาโดยยาก เสียสินสอดเป็นหมื่นเป็นแสนกว่าจะได้มา ยังไม่ทันไรก็แยกทางกันเสียแล้ว สภาพเช่นนี้หรือมิใช่มีดาษดื่นทั่วไป ?
รถเก๋งราคาแพง สุดท้ายหรือมิใช่เศษเหล็กกองหนึ่ง ? ฯลฯ
ตัวอย่างทั้งหลายเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงได้ทำให้สิ่งหนึ่งที่ดูมีค่ายิ่งนักในเวลาหนึ่ง กลายเป็นขยะที่เจ้าของรังเกียจไปในที่สุด
ชีวิตคนก็ไม่แตกต่าง แม้ชีวิตจะเป็นสิ่งมีค่าสูงสุดที่เจ้าของชีวิตแต่ละคนหวงแหน บำรุงบำเรออย่างดีที่สุด แต่เมื่อชีวิตนั้นถูกชราภาพเบียดเบียน ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งกลับเหี่ยวย่นไป ดวงตาที่เคยมองเห็นอะไรชัดเจนกลับฝ้าฟางหรือถึงกับบอดไป พละกำลังที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนแรงลงไป ที่เคยเดินได้ตามปกติกลับต้องใช้ไม้เท้า กระนั้นก็ยังจวนจะล้ม สมองที่เคยเปรื่องโปร่งแจ่มใส กลับเฉื่อยชาทึมทื่อไป อวัยวะทุกส่วนที่เสื่อมโทรมไปพร้อมที่จะทำให้เจ้าของเจ็บปวดอยู่ทุกขณะก็ดี หรือถูกเบียดเบียนจากอุปัทวะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง อาทิ ถูกยิง ถูกแทง รถชน เป็นโรคเอดส์ มะเร็ง เป็นต้น ก็ดี ชีวิตที่เคยหวงแหนก็กลับกลายเป็นขยะที่เจ้าของต้องการจะทิ้งไปเสียเท่านั้นเอง ในขณะแห่งความตายก็คือเจ้าของชีวิตได้ตัดสินใจทิ้งชีวิตนั้นเสียแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่จึงเป็นเพียงซากศพที่เปรียบประดุจท่อนไม้ท่อนหนึ่ง
บัดนี้ชีวิตของข้าพเจ้าได้กลายเป็นขยะไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าจึงทิ้งมันเสียดังท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้ ด้วยเหตุนี้ท่านทั้งหลายจึงไม่ควรเสียใจกับความตายของข้าพเจ้า แต่ควรดีใจกับข้าพเจ้าที่ได้ทิ้งขยะอันน่ารังเกียจไปเสียที ต่อนี้ไปก็เป็นภาระของท่านทั้งหลายช่วยกำจัดขยะกองนี้ให้ข้าพเจ้าด้วยก็แล้วกัน
นี่คือความรู้สึก ๔ ประการของข้าพเจ้าในขณะยืนดูศพอยู่ ขอสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า
ความรู้สึกประการที่หนึ่ง คนตายไม่มีความทุกข์เลย แล้วเราจะทุกข์เพราะเขาทำไม ? บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นคนตาย ไม่มีความทุกข์เลยเช่นกัน แล้วท่านทั้งหลายจะทุกข์เพราะข้าพเจ้าทำไม ?
ความรู้สึกประการที่สอง คนเราหากแม้มีชีวิตอยู่และตายจากไปโดยไม่ทำให้ใครต้องหลั่งน้ำตาเพราะตนเป็นเหตุ นับเป็นชีวิตที่ประเสริฐไม่น้อย ท่านทั้งหลายกรุณามอบชีวิตอันประเสริฐให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด
ความรู้สึกประการที่สาม คนตายไม่ต้องการให้คนที่อยู่ข้างหลังเป็นทุกข์เพราะเขาเป็นเหตุ ข้าพเจ้าก็เช่นกัน
ความรู้สึกประการที่สี่ ศพคือขยะชิ้นหนึ่งที่คนตายทิ้งแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ทิ้งขยะชิ้นนี้แล้วเช่นกัน ท่านทั้งหลายจะเป็นทุกข์เพราะขยะชิ้นหนึ่งทำไม ?
ข้าพเจ้ายังมีเรื่องที่อยากจะบอกกล่าวแก่ท่านทั้งหลายอีกมากมาย ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจสดับด้วยดีต่อไปเถิด
ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าตัวเองคงมีอายุไม่ยืน และจริงๆแล้วข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการอายุยืนเสียด้วย เพราะได้เห็นคนมีอายุยืนมักอ่อนแอ มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นอยู่เสมอ ซึ่งข้าพเจ้าไม่ต้องการเช่นนั้น ในเรื่องอายุยืนอายุสั้นนี้ข้าพเจ้ามีความเห็นที่อยากเสนอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาดังนี้
คนเราโดยทั่วไป เมื่อเห็นคนบางคนตายเมื่ออายุยังน้อย ก็รู้สึกเสียดายแทนว่า ทำไมอายุน้อยจัง น่าจะอยู่ต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึงอายุ ๖๐-๗๐ ปี เป็นต้น เมื่อเห็นคนบางคนตายเมื่ออายุเกือบร้อยหรือร้อยกว่า ก็รู้สึกยินดีด้วยว่า โอ้ ! อายุยืนจัง แล้วตัวก็อยากจะมีอายุยืนอย่างนั้นบ้าง นี่คือความรู้สึกของคนส่วนใหญ่
แต่สำหรับพระอรหันต์ผู้หมดความยินดีในชีวิตแล้ว ไม่มีความแตกต่างระหว่างการตายเมื่ออายุยังน้อยและอายุมาก เพราะใจของท่านไม่มีความยินดียินร้ายในชีวิตแล้วนั่นเอง
คนเราต้องการอายุยืน แต่หารู้ไม่ว่าอายุยืนก็คือความทุกข์ยืนนั่นเอง ตรงข้ามอายุสั้นก็คือความทุกข์สั้นเช่นกัน สำหรับท่านผู้มีปัญญาเห็นความเป็นจริงของชีวิตและหมดความยินดีในชีวิตแล้ว การด่วนตายเมื่ออายุยังน้อยกลับเป็นการดีกว่าอายุยืนด้วยซ้ำ เพราะจะได้ปลดปล่อยภาระคือกองทุกข์นี้ไปเสียที หากอายุยืนยาวต่อไปก็คือภาระยืนยาวไปด้วย
เปรียบเหมือนการแบกของหนัก ๕๐ กิโลกรัมของคนสองคน คนหนึ่งแบกไปได้ ๕๐ เมตรก็วางเสีย อีกคนหนึ่งแบกไปถึง ๑๐๐ เมตรจึงได้วาง ๒ คนนี้ใครหนักและเหนื่อยกว่ากัน ?
เช่นนี้แล้วการด่วนตายเมื่ออายุยังน้อยไม่ดีกว่าการมีอายุยืนดอกหรือ ?
ท่านทั้งหลายได้ฟังข้อความนี้แล้วอาจมีแง่มุมที่นึกค้านอยู่ในใจ ข้าพเจ้าก็มองเห็นแง่มุมนั้นอยู่ จงมองถึงประโยชน์จากข้อความดังกล่าวเถิด
ข้าพเจ้าเคยรู้สึกเสียดายพระอาจารย์หลายๆรูปที่ท่านมรณภาพเมื่ออายุยังน้อย เพียง ๕๐ - ๖๐ ปีเท่านั้น หากท่านมีอายุสัก ๘๐ หรือ ๙๐ ปี คงทำประโยชน์ได้มากกว่านี้ แต่เมื่อพิจารณาแล้วจึงได้ความเข้าใจดังกล่าว
วันนี้ข้าพเจ้าอาจมรณภาพทั้งที่อายุยังน้อย ท่านทั้งหลายอาจรู้สึกเสียดายแทนข้าพเจ้า หากเป็นเช่นนั้นท่านจงพิจารณาข้อความที่กล่าวแล้วบ่อยๆเถิด แล้วท่านจะละความรู้สึกเสียดายนั้นได้ และท่านจะไม่รู้สึกน้อยใจตัวเอง หากท่านจะต้องตายเมื่ออายุยังน้อยบ้าง
ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะตายด้วยเหตุใด สถานที่ใด เวลาใด และตายในสภาพเช่นไร ข้าพเจ้าจึงพยายามเตรียมพร้อมอยู่เสมอ และไม่ว่าข้าพเจ้าจะตายในสภาพเช่นไร มันย่อมเป็นความเหมาะสมเสมอ
หากท่านทั้งหลายได้เห็นข้าพเจ้าตายในสภาพที่ไม่น่าดู ท่านทั้งหลายจะรู้สึกอย่างไร เศร้าเสียใจ รังเกียจ สงสาร สมเพช สมน้ำหน้า หรืออย่างไร ? ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะรู้สึกอย่างไรล้วนไม่เกี่ยวกับข้าพเจ้าทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายต้องรับผิดชอบในความรู้สึกของตัวเอง
ข้าพเจ้าอยากจะเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังว่า
ครั้งหนึ่งขณะบิณฑบาต ข้าพเจ้าเห็นสุนัขตายอยู่ข้างถนน ตั้งแต่เพิ่งตายใหม่ๆจนขึ้นอืดขึ้นพอง มีหนอนชอนไช ส่งกลิ่นเหม็น จนเหลือเพียงซากแห้งๆและกลิ่นสาบๆ ข้าพเจ้าถามตัวเองว่า หากข้าพเจ้าต้องตายเหมือนหมาข้างถนนตัวนี้จะรู้สึกอย่างไร ?
คงน่าเกลียดยิ่งกว่าหมาตัวหนึ่ง เป็นความรู้สึก
ข้าพเจ้าถามตัวเองต่อว่า นอนตายในโลงศพอันงดงาม มีคนจัดงานศพให้อย่างมีเกียรติ กับนอนตายเหมือนหมาข้างถนนต่างกันอย่างไร ?
นอนตายข้างถนน เน่าเฟะเหมือนหมาตัวหนึ่ง มันดูอุจาด ความรู้สึกหนึ่งตอบ
คนตายอุจาด หรือคนเป็นรู้สึกอุจาด ? ความคิดหนึ่งถาม
คนเป็น !
ข้าพเจ้าจึงเสนอความเห็นกับตัวเองว่า
ถ้าเช่นนั้นคนตายก็ไม่รู้สึกเป็นทุกข์อะไรเลย ไม่ว่านอนตายที่ไหน อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้การนอนตายเหมือนหมาข้างถนนจะแปลกอะไร ?
ข้าพเจ้าจึงอยากจะบอกกับท่านทั้งหลายว่า ไม่ว่าข้าพเจ้าจะตายในสภาพเช่นไร ข้าพเจ้าจะไม่ยึดถือจนทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ แล้วท่านทั้งหลายจะยังยึดถืออยู่อีกทำไม ?
ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังต่อไป
การที่เราอยากให้คนคนหนึ่งอยู่กับเราไปนานๆ นั่นเพราะเราเห็นแก่ตัว เรารู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่กับเขา ไม่ต้องการให้เขาจากไป เพราะเมื่อเขาจากไปเราจะไม่มีความสุขดังกล่าว การที่เราอยากอยู่กับเขาไปนานๆจึงเป็นความเห็นแก่ตัว
เราต้องมองในอีกมุมหนึ่ง เป็นมุมของคนคนนั้น ไม่ใช่มุมของเรา แล้วเราจะรู้ว่า บางทีคนคนนั้นเขาต้องการจากเราไป เพื่อเขาจะได้มีความสุขมากขึ้นที่ไม่ต้องมีเรา หรือบางทีเขาก็ยังรักเราไม่อยากจากเราไปเช่นกัน แต่เขารู้ว่าเมื่อเขาจากเราไปแล้ว เขาจะได้พบกับสิ่งใหม่ที่จะทำให้เขามีความสุขกว่าเดิม เขาจึงต้องจากเราไป ไม่ว่าด้วยเหตุใด เราต้องมองว่า การที่เขาจากเราไปทำให้เขามีความสุขกว่าเดิม แล้วเราจะฉุดรั้งเขาไว้ทำไม ? เราควรปล่อยเขาไปตามทางที่เขาอยากจะไปมิใช่หรือ ?
การที่เรารักเขา ไม่ควรจะเพียงเพราะทำให้เรามีความสุข แต่ควรจะหมายถึงทำให้เขามีความสุขด้วย วันนี้ เมื่อเขาจะมีความสุขกว่าที่ได้จากเราไปเพื่อพบสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม เราควรแสดงความยินดีกับเขามิใช่หรือ ?
ความเกี่ยวข้องของผู้คนย่อมมีความรักในฐานะใดฐานะหนึ่งอยู่ด้วยเสมอ พ่อแม่รักลูก ลูกรักพ่อแม่ สามีภรรยารักกัน พี่น้องรักกัน สหายสนิทรักกัน เมื่อคนที่เรารักตายจากไป เราต้องพยายามมองอย่างที่กล่าวไปแล้ว ความทุกข์จากความรู้สึกสูญเสียก็จะลดน้อยลง
วันนี้ข้าพเจ้าได้จากท่านทั้งหลายไป ไปตามทางที่ควรจะไป ท่านทั้งหลายจงร่วมยินดีกับข้าพเจ้าเถิด
ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าคิดถึงโยมแม่ว่า ตอนนี้โยมแม่เป็นอย่างไรบ้างหนา ? แล้วคิดว่าโยมแม่คงสบายดี หากโยมแม่เจ็บป่วยไม่สบายคงมีคนโทรศัพท์มาบอกบ้าง เพราะท่านรู้ว่าข้าพเจ้าอยู่ที่นี่
เพียงแค่นี้ข้าพเจ้าจึงเข้าใจ ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าไม่ได้นึกถึงโยมแม่ แม้โยมแม่ยังมีชีวิตอยู่แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของท่าน ถึงท่านยังมีชีวิตก็เสมือนไม่มีนั่นเอง เพราะไม่ได้คิดถึงท่าน ข้าพเจ้าไม่รู้สึกมีความสุขหรือความทุกข์เนื่องเพราะโยมแม่เลยในขณะที่ข้าพเจ้าไม่ได้คิดถึงท่าน แต่เมื่อคิดถึงท่านและเชื่อแน่ว่าท่านยังต้องมีชีวิตอยู่อีกแน่นอน ข้าพเจ้าจึงรู้สึกยินดี
ข้าพเจ้าจึงได้ข้อคิดว่า
การดำรงอยู่หรือการจากไปของสิ่งๆหนึ่งไม่ได้ทำให้เราเป็นทุกข์เลย ตราบเท่าที่เราไม่ได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่หรือการจากไปของมัน
แต่เมื่อเราคิดถึงหรือรับรู้ถึงการดำรงอยู่หรือการจากไปของมัน จึงทำให้เราเป็นสุขหรือเป็นทุกข์มากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเรารักสิ่งนั้นมากน้อยแค่ไหน และเราเข้าใจและยอมรับความจริงได้มากน้อยแค่ไหน
ข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่า ไม่สำคัญว่าเวลานี้แม่จะมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่ หากคิดถึงแม่ แม้แม่จะตายไปแล้ว ก็เสมือนแม่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง เพราะแม่อยู่ในใจข้าพเจ้า กลับกัน หากไม่ได้คิดถึงแม่ แม้ว่าแม่จะยังมีชีวิตอยู่ก็เสมือนไม่มีนั่นเอง เพราะเราไม่ได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของท่าน และไม่รู้สึกเป็นทุกข์กับการดำรงอยู่ของท่านเลย
จากเรื่องนี้ข้าพเจ้าจึงอยากบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า วันนี้ข้าพเจ้าได้ตายจากท่านทั้งหลายไปแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ข้าพเจ้ายังจะอยู่ในใจของท่านถ้าท่านนึกถึงข้าพเจ้า แม้ว่าท่านจะไม่ได้เห็นหน้าข้าพเจ้าอีกก็ตาม
ในกรณีที่คนอื่นๆซึ่งเป็นที่รักของท่านได้ตายจากท่านไป ท่านก็ควรทำอย่างนี้ คิดถึงเขา แล้วเขาจะอยู่ในใจท่าน
ครั้งหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าไปจำพรรษาที่สำนักสงฆ์เขารังนอกเฉลิมพระเกียรติ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นที่ที่ข้าพเจ้าชอบมาก เมื่อเดินทางกลับวัดเขาสนามชัย หัวหิน ซึ่งเป็นวัดที่ข้าพเจ้าบวช ในขณะนั่งรถทัวร์ออกจากภูเก็ตข้าพเจ้าถามตัวเองว่า
หากไม่ได้กลับมาภูเก็ตอีกจะรู้สึกอย่างไร ?
คำตอบที่ปรากฏในใจคือ
ไม่เป็นไร ถึงจะต้องจากภูเก็ตไปโดยไม่ได้กลับมาอีก แต่ข้าพเจ้าก็กำลังไปหัวหินซึ่งเป็นที่ที่ข้าพเจ้าชอบมากกว่าภูเก็ตด้วยซ้ำ อีกอย่างหนึ่งข้าพเจ้าก็ได้มาอยู่ภูเก็ตหลายครั้งแล้ว แม้ไม่ได้กลับมาอีกก็ไม่เสียดาย ต่อไปอาจไปเจอสถานที่ที่ยังไม่เคยไปซึ่งน่าอยู่กว่าภูเก็ตก็อาจเป็นได้
จากความคิดถามตอบเหล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า การที่คนเราต้องจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นไม่ได้ทำให้เราเป็นทุกข์เลย ถ้าเราไม่มีความอาลัยในสิ่งนั้น หรือมีสิ่งอื่นที่มีค่าพอกันหรือยิ่งกว่ารอเราอยู่ เราย่อมยินดีที่จะจากสิ่งนั้นไปหาสิ่งใหม่ที่ดีกว่าด้วยความเต็มใจ
วันนี้ข้าพเจ้าตายจากโลกมนุษย์ไปโดยไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์ อย่างไรเสียข้าพเจ้าคงได้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์นี้อีก หรือไม่ก็ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่ามนุษย์
ฉะนั้นจึงอยากจะบอกแก่ท่านทั้งหลายเพื่อจะได้ไม่ร่วมเสียใจกับข้าพเจ้า และเมื่อท่านต้องตายเองก็จะได้ไม่อาลัยอาวรณ์ในโลกมนุษย์ โดยเอาใจไปผูกพันไว้กับภพภูมิที่ดีกว่า
ข้าพเจ้าขอกล่าวกับท่านทั้งหลายเพียงแค่นี้ก่อน